ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

จิตว่าง

๓o ส.ค. ๒๕๕๒

 

จิตว่าง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาพูดธรรมะเห็นไหม หลวงตาสั่งไว้บอกว่าให้ดูใจเรา ให้ดูใจเรา เรื่องของเขา เรื่องของเรา ให้ดูใจเราอย่าไปยุ่งกับเขา ให้ดูใจเรา เราก็ดูใจเราอยู่นะ เราไม่อยากยุ่งกับใครนะ ไม่อยากยุ่ง จริงๆ นะไม่อยากยุ่ง แต่เวลาเราพูดมันเป็นนิสัย นิสัยเวลาพูดอะไรพูดจริงจัง คนจริงก็พูดจริง พอบอกพูดจริงมันก็เป็นคำที่รุนแรง คนฟังว่าเป็นคำที่รุนแรง แต่ความจริงในความรู้สึกเราไม่ใช่ความรุนแรง เราพูดข้อเท็จจริง แล้วเรารอตรงนี้มานาน

เมื่อก่อนนี้ เวลาพวกดูจิต เขาบอกว่าเขาถูก เขาถูก ทำไมเราไม่ค้าน แล้วโยมก็ถามว่าทำไมเราไม่ค้าน เราบอกค้านไม่ได้ เพราะตอนที่ก่อนหน้านั้น เวลาเราค้านไป เราพูดไปแบบว่าข้อเท็จจริง เขาไม่ว่าค้านไง เขาว่าเหมือนกัน มาคำไหนก็เหมือนกัน เหมือนกันทุกที ไม่เคยบอกว่าต่างกันเลย ต้องเหมือนกันตลอด เราบอกไม่เหมือน ไม่เหมือน เพราะอะไรรู้ไหม เขาต้องการให้เราค้าน เพราะเราค้านเราจะบอกเทคนิค บอกถึงความผิดพลาดใช่ไหม เขาก็จะเอาไปเขียนให้มันเป็นทางเดียวกัน

ก่อนหน้านี้เวลาเขาพูดมามันไม่ใช่ความเห็นของเขา มันเป็นความรู้สึกที่เขาศึกษามาจากอภิธรรม มันไม่ใช่ความเห็นของเขา เรารอให้เขาแสดงความเห็นออกมา เพราะความเห็นมันออกมาจากใจ ความรู้ความเห็นมันออกมาจากใจนะ แต่การศึกษามันศึกษามาจากอภิธรรม เราพูดอะไรปั๊บ ชักอภิธรรมมา ชักชื่อมันมา ทุกคนต้องยอมจำนนไง อย่างเช่นเวลาเราคุยกับพระ เวลาพระมาหาเราคุยเรื่องธรรมะกัน เราบอกว่าอย่างนี้ผิด เขาบอกผิดทำไมหลวงปู่นั้นสอน หลวงปู่นี้สอน พอบอกหลวงปู่สอน เราอึ้งเลย

เพราะหลวงปู่สอนก็อ้างว่าหลวงปู่เห็นด้วยใช่ไหม ถ้าเราโต้แย้งก็ต้องแย้งหลวงปู่ด้วยใช่ไหม เราบอกเอาหลวงปู่วางไว้ก่อนสิ เอาหลวงปู่ยกขึ้นหิ้งไว้นะ แล้วเราคุยกันตัวต่อตัว ไอ้นั่นหลวงปู่เราวางไว้ก่อน แล้วเราคุยกันด้วยเหตุผลก่อน ต้องเอากันตรงนี้ไง เราคุยกันด้วยเหตุผล แต่อ้างหลวงปู่เลย

นี่ก็เหมือนกันคำหนึ่งก็อภิธรรม ในพระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้น สองคำก็พระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้น แต่ความจริงอันนั้นที่เขาเขียนมาแต่เริ่มเดิมทีน่ะ มันเป็นพระอภิธรรม มันเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ความเห็นของเขา แต่ในปัจจุบันนี้ความเห็นของเขา เขาเขียนความเห็นของเขาในแก่นธรรมของหลวงปู่ดูลย์น่ะ

ในแก่นธรรมของเขานะ อู๋ เราอ่านทั้งเล่มนะ เวลาลูกศิษย์เขามา หลวงพ่อได้อ่านหนังสือเขาหมดหรือยังๆ อ่านไม่หมดค้านได้อย่างไร ไม่ต้องอ่าน ไอ้หนังสืออย่างนั้นเอาวางไว้ก่อน แต่ความจริงมันเป็นความรู้สึกที่ออกมา ความจริงของตัวเองมันไม่มี อันนั้นมันเป็นตำราหมด หลวงตาพูดน่ะซึ้งใจมากนะ เวลาหลวงปู่มั่นท่านชราภาพ ท่านห่วงมากเลย ห่วงมากว่าคนรู้จริงมันมีน้อย

แล้วความรู้จริง หลวงปู่มั่นท่านใช้ทั้งชีวิตของท่าน ท่านบุกบั่นของท่าน แล้วท่านฝึกครูบาอาจารย์ของเรามา ฝึกมากเลย แล้วครูบาอาจารย์เราอยู่ที่หนองผือนะ หลวงตาเล่าเองว่าองค์ไหน ปฏิบัติแล้ว มีหลักมีเกณฑ์ท่านจะคอยจี้ คอยจี้คือคอยตรวจสอบ คอยส่งเสริม ถ้าองค์ไหนภาวนาไม่เป็น ท่านก็ให้อยู่ด้วยกันท่านก็ไม่พูด ก็เหมือนเรา เราทำงานไม่เป็น บังคับให้เราทำนะ เราทุกข์ตายเลย บางอย่างงานเราทำไม่ได้ แล้วครูบาอาจารย์บังคับให้เราทำ เราจะทุกข์ไหม แต่ถ้าคนมันทำได้ แต่มันยังทำไม่ดีใช่ไหม ก็ฝึกให้มันดีขึ้น ดีขึ้น เขาเรียกว่าภาวนาเป็นกับภาวนาไม่เป็นไง

ภาวนาเป็นมันจะเข้าทาง พอเข้าทางไป ครูบาอาจารย์จะคอยบอก คอยจี้ คอยดึง แบบอยู่ที่สูงน่ะ โยนเชือกลงมาแล้วให้เราเกาะแล้วดึงขึ้น ดึงขึ้น เราก็เหนี่ยวขึ้นรั้งขึ้น มันจะขึ้นได้ ขึ้นหน้าผาได้ ไอ้คนที่ขึ้นไม่ได้เลย ไอ้คนกลัวความสูง ไอ้คนไม่กล้าขึ้นเลย ทำไงก็ขึ้นไม่ได้

ฉะนั้นเวลาหลวงปู่มั่นท่านจะดูแลลูกศิษย์ องค์ไหนที่มีช่องทาง ท่านจะคอยถามจิตเป็นอย่างไร ภาวนาแล้วเป็นอย่างไร ดีขึ้นไหม สามวันแล้วเป็นอย่างไร เจ็ดวันแล้วเป็นอย่างไร เดือนหนึ่งแล้วเป็นอย่างไร จี้ตลอดนะ เห็นไหม แก้จิตมันแก้ยากนะ แล้วคนที่ทำได้มันก็มีน้อยใช่ไหม

ฉะนั้นสิ่งที่เป็นความจริง มันเป็นความจริงออกมาจากใจ แต่ก่อนหน้านั้นมันเป็นความเห็นของเขาทั้งหมด มันเป็นความเห็นที่เขาศึกษามาจากพระไตรปิฎก แล้วใครจะพูดทุกคนว่า โอ้โฮ มันละเอียดลึกซึ้งมาก ก็ธรรมะพระพุทธเจ้าทำไมมันจะไม่ละเอียด แล้วมันเป็นปฏิภาณของคน ปฏิภาณของคนน่ะ แต่ในแก่นธรรมไปดูสิ ผิดหมดเลย แม้แต่สติ สติก็ไม่รู้จักสติ คำว่าสติเป็นอนัตตา สมาธิเป็นอนัตตา สมาธิมันจะเป็นเอง ปัญญาจะเกิดเองอัตโนมัติ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สักเรื่องหนึ่งเลย มันเป็นมิจฉาทิฏฐิเลย

ถ้าปัญญาเกิด มันจะเกิดโดยอัตโนมัติ ถ้าทำสมาธินะ การเจาะจงนี่ผิดหมด อ้าว แล้วบอก ไอ้ที่รับไม่ได้จริงๆ เวลาเขาบอกว่าทุกคนจะบอกว่าเราไปโจมตีเขา ไม่ใช่โจมตีเขา เราพูดข้อเท็จจริง เพราะเขาพูดกันเอง แล้วมีลูกศิษย์นะมาจากชลบุรี มาจากจันทบุรี โอ้โฮ มาเต็มไปหมดเลย เอาหนังสือของเขามา เขาเสียใจไง เพราะพวกนี้เป็นลูกศิษย์ครูบาอาจารย์เรา กำหนดพุทโธมาตลอด

แล้วก็ในหนังสือบอกว่า ไอ้พวกทำพุทโธหลงมานาน พวกทำพุทโธเสียเวลาเปล่า พวกทำพุทโธ พุทโธ พุทโธแบบว่าทำแล้ว แบบว่าหลงทาง แล้วไม่ให้ทำ แล้วพอพุทโธพุทธานุสตินะ พุทธานุสติเป็นกรรมฐาน ๔๐ ห้องในพระไตรปิฎกนะ เป็นของพระพุทธเจ้าสอนหมดเลย แต่มันเป็นเพราะคนที่เขาไม่มีความสามารถ อย่างที่หลวงปู่มั่นท่านอยู่ที่หนองผือเห็นไหม คนไหนภาวนาไม่ได้ ท่านก็พยายามอยู่ในเพศพระ ทำตัวดีๆ ให้พยายามฝึกฝนขึ้นมา แต่ยังทำไม่ได้

นี่ก็เหมือนกันพุทโธตัวเองทำไม่ได้ ตัวเองทำไม่เป็น แล้วอย่างหลวงตาท่านสอนน่ะ ปัญญาอบรมสมาธิก็เหมือนกัน ถ้าปัญญาอบรมสมาธิมันก็ต้องปัญญาอบรมสมาธิ มันก็ต้องมีสติ แต่ของเขาบอกดูเฉยๆ อย่าฝืน อย่าขืน อย่าดึง อย่าดื้อ ต้องรู้ตามเป็นจริง ธรรมะเป็นธรรมชาติ เห็นไหมเราถึงบอกว่าธรรมะเหนือธรรมชาติ แล้วธรรมชาติ คือ วัฏฏะ

ธรรมชาติ คือ ธรรมชาติที่มันแปรปรวน แล้วอย่างที่ว่า บอกสิ่งที่ว่าสัพเพ ธัมมา สรรพสิ่งเป็นอนัตตา ธรรมะเป็นอนัตตา อนัตตามันเป็นอกุปปธรรม อกุปปธรรม ธรรมที่เหนือพ้นจากอนัตตาไปอกุปปธรรม

มันมีของมันใช่ไหม นี้คนทำไม่เป็น พอทำไม่เป็นผิดหมดเลย แล้วผิดออกมาจากหัวใจ เรารอตรงนี้ เรารอมานาน เวลาเขามาถาม ทำไมเราไม่โต้ไม่ตอบ เพราะโต้ตอบไป เขาจะถามว่าเรามีความรู้ขนาดไหน อาจารย์ของเขามีความรู้มาก พระไตรปิฎกอ่านจบหมดเลย มันก็ธรรมะในพระไตรปิฎกไงที่เขาเอามาเขียน เรารอตรงนี้ รอตรงที่เขาเขียนออกมาจากความรู้สึกของเขา พอเขียนความรู้สึกของเขานะ ผิดหมดเลย เขาเขียนออกมานะ บอกว่าความว่าง จิตว่างไม่มีในพระพุทธศาสนา ในแก่นธรรมไปดูได้ จิตว่างไม่มี จิตว่างไม่มีจริง

อ้าว แล้วพอเขาพูดนะ ถ้าใครฟังก็ทึ่งนะ จิตว่างไม่มีจริง ไม่มีหรอกเพราะอะไร เพราะที่ไหนมีจิตที่นั่นต้องมีอารมณ์ถูกไหม ถูก ที่ไหนมีจิตที่นั่นต้องมีอารมณ์ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะธรรมชาติของมนุษย์เป็นอย่างนี้ แต่เอกัคคตารมณ์จิตต้องเป็นหนึ่ง จิตตั้งมั่น จิตหนึ่งเดียวมีไหม มีไหม ถามกลับสิว่าที่ไหนมีจิต ที่นั่นต้องมีอารมณ์ แล้วที่มีจิตล้วนๆ ที่ไม่มีอารมณ์น่ะ เอ็งว่ามีไหม เอ็งว่ามีหรือเปล่าล่ะ มีแต่จิตที่ไม่มีอารมณ์ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเขาไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นจากข้อเท็จจริง เขาคิดเอา ตรรกะของเขาคิดเอาในพระไตรปิฎก คิดเอาในอภิธรรม จิตกี่ดวงกี่ดวงนะ คิดเป็นสูตร สูตรทฤษฎีที่ตายตัวไง

แต่ถ้าเป็นข้อเท็จจริงนะ หลวงตาเทศน์สอนประจำเลย แต่คนไม่เป็นเห็นไหม..ว่าจิตนี้เป็นหนึ่ง อารมณ์เป็นสอง อารมณ์สองเราอยู่กับของคู่กันมาตลอด พวกเราอยู่กับของคู่กันมา ดีคู่กับชั่ว สุขคู่กับทุกข์ ไม่พอใจคู่กับพอใจ ความคิดไงความคิดคู่กับจิต เห็นไหม ที่ไหนมีจิตที่นั่นต้องมีอารมณ์ ก็ใช่ ที่ไหนมีจิตที่นั่นต้องมีอารมณ์ มี ใช่ ถ้าที่ไหนมีจิตไม่มีอารมณ์ พุทโธจะเกิดอย่างไร

อย่างที่สติ สติที่ว่า สติๆ น่ะ สติเกิดจากจิตเห็นไหม ที่ไหนมีจิตที่นั่นก็มีสติ ถ้าพูดถึงฝึกสติขึ้นมา ที่ไหนมีจิตที่นั่นก็ต้องมีอารมณ์ ที่ไหนมีจิตที่นั่นมีความคิด ที่ไหนมีจิตที่นั่นก็มีทุกข์ อ้าว มันก็ถูก ถูกทั้งนั้น

แต่ถ้ากำหนดพุทโธ พุทโธ ใครกำหนดล่ะ ใครเป็นคนกำหนด เป็นสองใช่ไหม เพราะจิตกับพุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ จิตกับพุทโธก็เป็นสองไง ที่ไหนมีจิตที่นั่นมีอารมณ์ อารมณ์ที่มันคิดฟุ้งซ่าน เรามีสติ เราก็นึกพุทธานุสติเห็นไหม อารมณ์ก็มาคิดพุทโธไง เป็นสองไง ที่ไหนมีจิตที่นั่นก็มีอารมณ์ ที่ไหนมีจิตที่นั่นก็มีพุทโธ เรานึกพุทโธน่ะ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ อ้าว ก็พุทโธไง พุทโธไปเรื่อยๆ เห็นไหม พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธจนมันละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไปจนนึกพุทโธไม่ได้

อ้าว แต่ในปัจจุบันนี้นะ พวกเราภาวนาผิดกันเยอะ เขาบอกเลยนะ เวลาเขาพูดน่ะ เวลาเขาเหยียดหยาม เขาเหยียดหยามว่าไอ้พวกพุทโธเป็นไสยศาสตร์ นั่งเป็นตัวแข็งตัวทื่อ ไอ้อย่างนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดา ไอ้ทำงานมันก็ผิดเป็นธรรมดา เขาจะเหยียดหยามมาก ว่าพวกพุทโธ มันเป็นสมถะ มันเป็นทางผิดพลาด มันทำให้คนหลงผิด ว่านั่งแล้วเป็นตัวแข็งตัวทื่อ แล้วดูถูกชัดๆ นะ คำนี้ดูถูกบ่อยมาก ว่าเป็นฌานน่ะ เป็นฌาน ทำฌานสมาบัติ ฌานออกนอกลู่นอกทาง เอ็งรู้จักฌานหรือเปล่า นี่เขาพูดกันว่าฌานๆ เพราะอะไร

เพราะเขาไม่รู้จักอะไรเลย สมาธิก็ไม่รู้จัก จิตหนึ่งจิตสองก็ไม่รู้จัก จิตว่างจิตไม่ว่างก็ไม่รู้จัก แล้วจะรู้จักฌานได้อย่างไร ใครบอกว่างๆ กูก็อัดเอาชื่อฌานยัดใส่ให้มันเลย ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ฌานหรอก โธ่ ฌานนะ ปฐมฌาณ ทุติยฌาณ ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นอย่างไร ไม่รู้จัก

ถ้าใครมาก็บอกจิตว่างๆ บอกโอ๋..ติดฌานแล้ว ฌาน ๒ เขาจะใช้ว่าใคร เด็กมันมานั่งเผลอๆ บอกว่าฌาน ๒ แล้ว มีแต่ว่าเอาฌาน ๒ สวมให้ เพราะเราดูหนังสือเขามาตลอด นั่นฌาน ฌาน ไอ้คนที่ไปฟังก็ทึ่งนะ โอ้โฮ ฌานก็ผิดเนอะ ใครได้ฌานไหนก็รู้นะ โห รู้วาระจิตไปหมดเลย

ไม่ใช่หรอก เหมาเข่ง เหมาเข่ง ใครมาก็ฌาน ๒ ฌาน ๒ ใครมาก็จิตส่งออก อู๋ ส่งออกแล้วฟุ้งซ่านแล้ว โห ทึ่งๆ ทึ่งกันหมดเลย รู้วาระจิต เหมาเข่ง ธรรมชาติของเข่งส้มก็ คือ ส้มใช่ไหม เข่งกล้วยคือกล้วย เข่งไก่ก็คือไก่ใช่ไหม ธรรมชาติของจิตมันส่งออก ธรรมชาติ เหมาเข่ง นั่งอยู่ส่งออกแล้ว อู๋ย นะคิด นั่นๆๆ ฟุ้งซ่านแล้ว อู๋ย ไอ้นั่นก็เก่ง

ธรรมชาติของจิตมันเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติของจิตมันเป็นสอง ที่ไหนมีจิตที่นั่นมีอารมณ์ เขาพูดเอง เขาบอกใช่ไหมที่ไหนมีจิตที่นั่นมีอารมณ์ ความว่างไม่มี จิตว่างไม่มี จิตว่างไม่มี แล้วเอ็งมานั่งอยู่เอ็งมีจิตหรือเปล่า มี แล้วเอ็งมีอารมณ์ไหม มี พอบอกอารมณ์เอ็งฟุ้งซ่าน ทำไมล่ะ ก็กูเหมาเข่งไง กูเหมาเข่งหมดเลย ถูกหมดเลย ใครๆ ก็ทึ่งหมดเลย แล้วใครมาว่า นี่ไงฌาน ๒ ฌาน ๒

ไม่ใช่ ไม่ใช่ ฌานมันลึกซึ้งกว่านั้นเยอะ ปฐมฌานน่ะมันครบนะวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ พอมันผ่านวิตก วิจาร ไป มันเกิดปีติน่ะฌาน ๒ พอมันเกิดปีติ เกิดสุข มันไปติดสุข เอกัคคตารมณ์จิตตั้งมั่น ปฐมฌาน ทุติยฌาน จตุตถฌาน มันมีระดับของมัน ไม่เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นว่างๆ ว่างๆ เพราะเขาไม่รู้จักว่าว่าง ฉะนั้นบอกว่าที่ไหนมีจิต ที่นั่นมีอารมณ์โดยธรรมชาติ ของมันเป็นอย่างนี้มาโดยธรรมชาติ แต่ไม่มีใครรู้มัน ทีนี้พระพุทธเจ้ามาฝึกฝนเห็นไหม

หลวงตาท่านพูดบ่อย ถ้าใครฟังเทศน์หลวงตา หลวงตานะ ถ้าใครมาพูดเรื่องฌานเรื่องแฌน ท่านใส่เลยไอ้ฌานๆ แฌนๆ อย่ามาพูดกับเรานะ ไอ้แฌนๆ ฌานๆ อย่ามาพูดกับเรา เพราะชื่อมันก็ไม่รู้จัก คุณสมบัติมันก็ไม่มีใครรู้จัก อ้างแต่ว่าฌานๆๆๆ แล้วก็เหยียบย่ำกัน มันรู้จริงหรือเปล่า

แต่ของเราไม่ใช่ฌาน สัมมาสมาธิ พุทโธ พุทโธสัมมาสมาธิ ทำความสงบของใจ ไม่ใช่ฌาน ฌานกับสมาธิคนละเรื่องกัน ฌานเป็นฌาน สมาธิเป็นสมาธิ ศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิไม่ใช่ฌาน ฌานเป็นฌาน สมาธิเป็นสมาธิ แล้วทำสมาธิกำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธทำสมาธิ กำหนดอานาปานสติทำสมาธิ ทำสมาธิ คือ จิตสงบ จิตสงบ คือ จิตหนึ่ง จิตหนึ่งนี่จิตว่างไหม

จิตว่างมีหลายระดับมาก เขาบอกจิตว่างในพุทธศาสนาไม่มี อย่างนี้หลวงตาผิดนะ หลวงตาบอกท่านว่างงานน่ะ จิตท่านว่าง อ้าว ถ้าจิตว่างไม่มีแล้วหลวงตาเป็นอะไร อ้าว หลวงตาจิตว่างไหม อ้าว แล้วเขาบอกจิตว่างไม่มี เออ (หัวเราะ) เวลาเขียนน่ะเขียนไปเรื่อย แล้วไปกระทบใครก็ไม่รู้นะ เวลาเขียนไปขัดแย้งใครบ้างก็ไม่รู้ เพราะการเขียนด้วยอารมณ์ไง การเขียนด้วยตรรกะของตัวไง คิดว่าเขียนแล้วมันจะถูกไง

จิตว่างมี จิตว่างมี จิตว่าง คือ จิตว่างในขั้นของสมถะ จิตว่างในขั้นของโสดาบัน จิตว่างในขั้นของสกิทา จิตว่างในขั้นของอนาคา จิตว่างในขั้นของพระอรหันต์ พระอรหันต์จิตไม่ว่าง พระอรหันต์หมดจากจิต จิตก็ไม่มี เป็นธรรมธาตุ ถ้าพระอรหันต์มีจิตที่นั่นมีภพ ที่ไหนมีจิตที่นั่นมีภพ สถานที่มีจิต คือ มีภพ พระอรหันต์ไม่มีจิต เพราะฉะนั้นความว่างของพระอรหันต์ ว่างลึกซึ้งนะ ทีนี้คำว่าว่างเป็นสมมุติอย่างที่ในพระไตรปิฎกเห็นไหม สุญตา สุญตา สูญเป็นความว่างนะ เอาสูญอะไร สูญจากกิเลสเว้ย สูญจากกิเลส กิเลสไม่มีในใจนั้น ฉะนั้นจิตว่างมี จิตว่างมี

เขาบอกจิตว่างไม่มี เพราะเขาทำอะไรไม่เป็นเลย คนทำอะไรไม่เป็น อย่างเช่น พวกเราไปสัมผัสสิ่งใดของที่มีอยู่ เรากล้าปฏิเสธว่าไม่มีไหม คนที่บอกไม่มี แสดงว่าเขาไม่เคยเห็นสิ่งนั้น ถ้าคนเคยเห็นสิ่งนั้น อย่างเรานั่งอยู่ เขาบอกไอ้หงบไม่มีในโลกนี้ โยมเชื่อไหม อ้าว ก็โยมนั่งมองอยู่ ถ้าเขาไปเขียนหนังสือบอกว่า ในโลกนี้คนชื่อสงบไม่มี เอ้อ เขาก็เชื่อกันนะ เพราะเขาอ่านหนังสือใช่ไหม

พวกเรานี่ติด ถ้าอันไหนเป็นตำราอันไหนเป็นเอกสารนะ โอ๋ย อันนั้นของจริง แล้วถ้าเขาไม่รู้จริงเขาไปเขียนเลย ในโลกนี้ในจักรวาลนี้ คนชื่อสงบไม่มี เอ่อ ก็จริงว่ะ มันไม่มีเพราะเราไม่เคยเห็น แต่พวกโยมนั่งอยู่ โยมเห็น ถ้าโยมอ่านหนังสือเล่มนั้น โยมจะเชื่อเขาไหม โยมก็ไม่เชื่อ

เขาเขียนว่าจิตว่างไม่มี จิตว่างไม่มีในพระพุทธศาสนา นี่ไง แล้วเวลาเราเทียบนะ แล้วพอบอกจิตว่างไม่มีในพระพุทธศาสนา แล้วเวลาเขาพูดถึงความว่าง สัมมาสมาธิของเขา เห็นไหม ตามรู้จิตไป ตามรู้จิตไป อย่าฝืน อย่าดื้อ อย่าดึง อย่าขืน พอไปถึงนะ มันจะลงเองโดยไม่จงใจด้วย ไอ้ตรงนี้มันบอกเลย นี่บอกสติไม่ต้องฝึกไง พอความเห็นผิด สิ่งที่เขาแสดงออกมาผิดหมดเลย

เห็นไหมเราบอกว่าไม่รู้พูดผิดหมด ตอนที่เทศน์ ไม่รู้พูดผิดหมดน่ะ ยังไม่มีหลักฐานอันนี้นะ ถ้ามีหลักฐานอันนี้นะ แฉตายเลย ไม่รู้พูดผิดหมด เพราะเราปักใจเชื่อโดยความรู้สึกเราว่าคนนี้ไม่รู้จริงๆ คนนี้ไม่รู้จริงๆ แล้วไม่รู้อะไรเลย แต่มีปฏิภาณในการเขียนหนังสือ มีปฏิภาณในการจำธรรมะพระพุทธเจ้าเท่านั้นเอง คนนี้ไม่รู้อะไรเลย ถ้ารู้ อ้าว ตามไปนะ ตามความรู้สึกนี้ไป ตามไปเรื่อยๆ อย่าฝืน อย่าดื้อ นี่ไงที่ว่าฟุ้ง จิตฟุ้งแล้วนะ อยู่เฉยๆ นะ

คนเรานะ คนจะเป็นคนดีนี่แสนยาก คนดีต้องพยายามทำความดี ต้องฝืนสังคม กระแสสังคมติฉินนินทาเราตลอดเลย เราต้องยืนให้ได้ ทุกข์ไหม ถ้าคนไหนไม่ต้องทำอะไรเลย เฮไหนเฮนั่น พาลพาโลไปกับสังคม คนนั้นสบายมากเลย จิตก็เหมือนกันจะทำสมาธิเหมือนคนดี ต้องฝืน ต้องควบคุม ต้องต่อสู้ มันถึงจะเป็นคนดี ถ้าปล่อยมันไปนะ ไม่ต้องฝืน อย่าดื้อ อย่าดึง อย่าฝืนนะ อย่าจงใจ แล้วปล่อยไปนะ พอถึงที่สุดเห็นไหม คนไม่ดี คนพาลพาโล เที่ยวตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก เขาไม่ต้องทำอะไรหรอก เขาทำแต่ความสะใจของเขา แล้วเขาก็ไปนั่งหัวเราะชอบใจกัน แล้วเขาได้อะไร สังคมรังเกียจมาก เพราะทำให้สังคมนั้นปั่นป่วน

แต่คนดีนะ ต้องเจือจานเขา ต้องดูแลเขา เห็นคนเฒ่าคนแก่ จะช่วยเหลือเจือจานนะ คนดีทุกข์ยากมาก ฉะนั้นบอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย เห็นไหมอย่าฝืน อย่าดื้อ อย่าดึง มันก็เหมือนคนเกเร เหมือนคนที่ไม่เอาไหน พอถึงที่สุดนะ มันจะลงสมาธิโดยไม่จงใจ ถ้าจงใจไม่ใช่สมาธิ อ้าว ไอ้คนดีนะ ไอ้คนทำความดี กลับเป็นคนผิดนะ ไอ้ตีหัวหมาด่าแม่เจ๊กกลับเป็นคนดี มันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร ทำไมคนเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ตัดสินธรรมอย่างนี้ ทำไมพระอรหันต์เขียนธรรมะอย่างนี้ ถึงได้บอกสัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิไง

ถ้ารู้ธรรมะจริง ทำไมเขียนอย่างนี้ ถ้าจิตมันลง ลงโดยไม่จงใจนั่นเป็นสมาธิ เป็นสัมมาสมาธิด้วย ไอ้พุทโธ พุทโธ พุทโธเป็นมิจฉา เพราะอะไร เพราะตัวแข็ง พูดอยู่ชัดๆ พูดบ่อยมากในหนังสือน่ะ เพราะนั่งไปแล้วตัวจะแข็งทื่อ พวกนี้เป็นมิจฉา ไอ้หายไปเลยนั่นเป็นสัมมา ไอ้มิจฉาสัมมา เลยกลายเป็น เขาเป็นคนให้ค่า

แล้วพอให้ค่า เราเป็นคนจริงนะ พวกเราถ้าทำดี เราจะไม่กลัวอะไรเลย คนทำดีนะจะเข้าสังคมไหนเห็นไหม ศีลทำให้องอาจกล้าหาญ ศีล ใครมีศีลมีธรรมในหัวใจ สังคมไหนก็เข้าได้ สังคมไหนเราอาจหาญรื่นเริงมาก เพราะเราไม่มีแผลในใจ ใช่ไหม เราไม่ต้องอ้างอิงอะไรเลย เอาสัจธรรมเรา พูดตามสัจธรรม

แต่นี่เพราะคนมันไม่มี พอไม่มีนะบอกว่าจิตน่ะ ดูจิตไปเรื่อยๆ ดูจิตไปเรื่อยๆ อย่าฝืน อย่าดื้อ อย่าดึง อย่าขัด อย่าขืน อย่าทำอะไรเลย ปล่อยไหลไปเป็นขี้ลอยน้ำ แล้วไม่จงใจ มันจะลงวื้บไปเลยนะ แล้วพอลงวื้บไปเลย นี่ไงหาหลักฐานมารองรับ สัมมาสมาธิจะเกิดที่ไหน ถ้าไม่เกิดบนจิต สัมมาสมาธิต้องเกิดบนจิต อ้าว เป็นสมาธิ มึงยังมีสัมมาสมาธิบนจิตอีกเหรอ

คำเขียนอย่างนี้เป็นการยืนยันว่าตัวเองนี่มันไม่เป็นปัจจัตตัง มันไม่เป็นสันทิฏฐิโก คือ หัวใจนี้มันไม่ได้สัมผัส หัวใจนี้ไม่มีความจริง แต่หัวใจนี้พยายามจะเอาอภิธรรม เอาธรรมะเข้ามารองรับ แล้วเขียนให้ละเอียดลึกซึ้งนะ แล้วปัญญาชนชอบ แหม มีหลักมีเกณฑ์นะ มีหลักมีฐานนะ อู๋ มีที่มาที่ไปนะ แต่ที่มาที่ไปอยู่ในพระไตรปิฎกหมดเลย แต่ตัวเองไม่มีอะไรเห็นไหม นี่ไงชัดๆ เลย ว่าเขาบอกสัมมาสมาธิ สมาธิ ไอ้พุทโธ พุทโธ พุทโธ ทำให้เสียเวลาเปล่า

แต่ดูจิต ดูจิต ดูจิตไปเรื่อยๆ แล้วอย่าดื้อ อย่าขืน อย่ารั้ง อย่าต่อต้าน แล้วเวลามาตั้งสติก็ผิด ถ้าระลึกน่ะ ความจงใจ คือ สติ ความจงใจ ความตั้งใจนี้ คือ สติ สติก็ไม่ต้องฝึก สติจะเกิดเอง แล้วจงใจไม่ได้ จงใจเป็นอันว่าผิด ถ้าปล่อยไหลไปมันจะ ความไม่จงใจ คือ ความถูกต้อง ปวดหัว ปวดหัวมากๆ เพราะไม่จงใจนะ แล้วมันจะลงสมาธิโดยความไม่จงใจ มันก็ภวังค์น่ะสิ ไม่มีสติ ไม่มีใครควบคุม มันไปไหนน่ะ ก็ตกเหว แล้วตกเหวตกไปไหนล่ะ ตกไปบนจิตไง (หัวเราะ) สัมมาสมาธิต้องเกิดบนจิต สัมมาสมาธิไม่เกิดที่อื่นเกิดบนจิต

แต่เวลาเขาบอกพุทโธผิดหมดนะ เวลาบอกพุทโธผิดหมด แต่เวลาเขาเขียนออกมา แก่นธรรมของหลวงปู่ดูลย์ เขียนโดยผู้รู้คนนี้ ผิดหมด ! แต่นี้บอกจิตว่างไม่มี จิตว่างไม่มีในความเห็นของเขา จิตว่างมี พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธไป ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ หลวงตาบอกเวลารวมใหญ่ คนไม่เคยรวมใหญ่ จะไม่รู้จักการรวมใหญ่ การรวมใหญ่จิตหนึ่งเดียวไม่มีสอง

ขณะที่เป็นอัปปนาสมาธิน่ะสักแต่ว่ารู้ คำว่าสักแต่ว่ารู้มันเป็นหนึ่งในตัวมันเอง มันไม่รับรู้อะไรเลย มันรับรู้อะไรไม่ได้ นั่งอยู่อย่างนี้ดับหมด แม้แต่ตัวจิตมันยังไม่รับรู้สภาพของร่างกายนี้เลย สภาพความรู้สึกในร่างกายนี้ไม่มี เช่นเรานั่งจนจิตลงอัปปนานะ จิตรวมใหญ่ลมพัดมา ความรับรู้ต่างๆ ไม่มี จิตรู้อยู่นะ จิตมันเป็นหนึ่ง มันไม่รับรู้ผ่านอายตนะ มันไม่รับรู้ผ่านสู่ผิวหนัง เพราะมันไม่รับรู้เรื่องกาย มันอยู่กับกาย แต่มันทิ้งกาย มันละกายเลย มันเป็นหนึ่งเดียว เห็นไหมว่าที่ไหนมีจิตที่นั่นต้องมีอารมณ์

แต่ถ้าเป็นอัปปนาสมาธิที่ไหนเป็นจิต ที่นั่นเป็นจิต ไม่มีอารมณ์ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น เลยศัพท์ของมัน ศัพท์ที่เราจะสมมุติกัน สักแต่ว่ารู้ ! สักแต่ว่ารู้ ! มันรู้ในตัวมันเองเห็นไหม ถ้ารู้นี่รู้ออก ถ้าสักแต่ว่ารู้ มันรู้ในตัวของมัน สักแต่ว่ารู้เพราะว่ามันรู้ของมัน แต่ไม่รู้ออกมา ไม่รู้ออกมาข้างนอก มันเป็นหนึ่งเดียว มันเป็นความว่าง จิตว่างมี ถ้าจิตว่างต้องพุทโธๆๆๆ พุทโธไปเรื่อยๆ มันเป็นขณิกะ ขณิกสมาธิเป็นสมาธิอยู่ แต่รับรู้ได้

อุปจารสมาธิพุทโธๆๆๆ ละเอียดเข้าไป อุปจารสมาธิคือจิต ที่ไหนมีจิต ที่นั่นต้องมีอารมณ์ ที่ไหนมีจิตที่นั่นต้องมีอารมณ์ แต่อารมณ์ในปกติในสามัญสำนึกอารมณ์โดยกิเลส แต่ถ้าเป็นจิตสงบไปแล้ว จิตมันสงบเข้ามา กิเลสมันสงบตัวลง มันก็ออกรู้ นี่ไงที่ว่าจิตอัปปนา ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิออกวิปัสสนาได้ คำว่าออกวิปัสสนาได้ ออกทำงานได้ไง จิตออกทำงานได้เพราะจิตออกรับรู้ได้ แต่จิตออกรับรู้เมื่อจิตสงบแล้ว

จิตสงบแล้วจิตมันไม่มีตัณหา ไม่มีตัวเร่ง ไม่มีกิเลสเราคอยเร่งไง ถ้าไม่มีกิเลสตัวเราเร่ง เวลามันออกมา มันออกมาโดยสัจธรรม แต่ในปัจจุบันนี้ถ้าเราไม่ทำความสงบของจิตนี้ก่อน โดยสามัญสำนึก จิต อวิชชามันครอบงำจิตใจเรา เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา สิ่งใดที่คิดมาเห็นไหม บอกจิตส่งออกไม่ได้ จิตส่งออกไม่ได้ก็ผิดอีก จิตส่งออกเป็นศัพท์ของพระป่าวงกรรมฐานเลย คำว่าจิตส่งออก ถ้าบอกจิตส่งออกนี่รู้กันเลยว่ามันไม่เป็นเอกภาพ จิตมันส่งออกมันเป็นสัญชาตญาณไง

จิตส่งออกนี่ธรรมชาติ เวลาจิต พลังงานของจิต ธรรมชาติของมัน มันต้องรับรู้ การรับรู้ คือ การส่งออก ที่ไหนมีจิตที่นั่นมีอารมณ์ นั่นล่ะมันส่งออกแล้ว เขาพูดเองไง มันขัดกันในคำเขียนเขา ในทฤษฎีของเขาว่า ที่ไหนมีจิตที่นั่นต้องมีอารมณ์ แต่เขาไปเขียนอีกจุดหนึ่งนะจิตส่งออกไม่ได้ หลวงปู่ดูลย์ท่านบอกว่าจิตส่งออก หลวงปู่ดูลย์ท่านมีความเห็นคลาดเคลื่อน แต่ความจริงจิตมันส่งออกไม่ได้ การส่งออกนั้นเป็นสัญญาอารมณ์ต่างหาก ที่ไหนมีจิตที่นั่นต้องมีอารมณ์ เขาคงคิดว่าอารมณ์นั่นส่งออกไง คำว่าจิตส่งออก แล้วอารมณ์นี่มาจากไหน อารมณ์นี่มาจากไหนถ้าไม่มีจิต

ไม่มีจิตนี่อารมณ์จะเกิดมาเองได้ไหม ไม่มีความรู้สึกอารมณ์จะเกิดเองได้ไหม ถ้าอารมณ์เกิดได้เอง แล้วเวลาอารมณ์ส่งออก แล้วอารมณ์มาจากไหน ออกมาจากจิต แล้วไม่ใช่จิตส่งออกเหรอ มันก็จิตส่งออกนี่แหละ เขาบอกว่าจิตส่งออกไม่ได้เพราะจิตนี้เป็นวิญญาณขันธ์ ผิดอีก จิตเป็นวิญญาณขันธ์ได้อย่างไร จิตนี่เป็นปฏิสนธิ จิตนี่คือพลังงาน จิตนี่เป็นพลังงาน อย่างที่ว่าจิตนี้เป็นหนึ่งใช่ไหม พอจิตนี้เป็นหนึ่ง แล้วอารมณ์เป็นสอง พอจิตเป็นหนึ่ง มันเป็นหนึ่ง มันเป็นตัวของมันเอง เห็นไหมเขาบอกว่านี่เป็นวิญญาณขันธ์ ไม่ใช่

วิญญาณขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตำราบอกไว้ชัดเจนมากเลย ตัวจิตนี้เป็นตัวพลังงาน จิตไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์ไม่ใช่จิต แล้วว่าถ้าจิตนี้เป็นวิญญาณขันธ์ก็ผิด จิตส่งออกไม่ได้ก็ผิด ไม่มีอะไรถูกเลยล่ะ ไม่มีอะไรถูก แก้ผ้าล่อนจ้อนเลยล่ะ ผิดทั้งนั้นเลย แล้วพอผิดทั้งนั้นเห็นไหม เพราะเขามีอุดมการณ์หรือความรู้ของเขามันเป็นมิจฉา เป็นความเห็นผิด พอความเห็นผิด คำสอน เวลาสอนโดยตัวเองนี่ผิด

แต่เวลาสอนตัวเองน่ะบังไว้ด้วยอภิธรรม เอาอภิธรรมมาบังไว้ พูดคำก็อภิธรรม สองคำก็อภิธรรม อารมณ์อย่างนี้จะเข้ากับอภิธรรมอย่างนั้น คือบังไว้ พูดครึ่งๆ พูดกึ่งๆ แต่อ้างอิงอภิธรรม พอพูดครึ่งๆ พูดกึ่งๆ แล้วพูดอภิธรรม ที่ว่ามันลึกซึ้งๆ เราก็จริงว่ะ จริงว่ะ พอฟังแล้วมันจริงว่ะเพราะอะไร เพราะมันมีชื่อมีอภิธรรมจริงๆ ในพระไตรปิฎก แต่อารมณ์มันไม่ได้เป็นไป อารมณ์มันไม่ได้เป็นไปตามอภิธรรมนั้นน่ะ

พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธไป จิตว่างได้ แล้วจิตว่างนะมันจิตว่าง ถ้ามันว่างอย่างนี้ มันว่างโดยพุทโธเฉยๆ นะ แต่ถ้าเป็นพระโสดาบันล่ะ มันว่างโดยอะไร มันว่างโดยมรรคญาณน่ะ มันว่างโดยมรรคญาณนะ มันก็เกิดสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธินี้เป็นพื้นฐาน เป็นกรรมฐาน เห็นไหม สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานมันจะเกิดบนสมถกรรมฐาน

จิตนะ ข้อมูลต่างๆ มันอยู่ที่จิต ปฏิสนธิจิตมันเก็บข้อมูลไว้หมดอย่างเช่น ที่ว่าจิตเป็นขันธ์ ไม่ใช่ จิตนี้เป็นจิต จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นพลังงาน พลังงานตัวนี้มันเป็นปฏิสนธิจิต พลังงานตัวนี้จะไปเกิด เกิดในปฏิสนธิจิต ไปเกิดในไข่ เกิดในครรภ์ เกิดเป็นโอปปาติกะ แต่ขณะที่เราเกิดมา ตัวจิตนี้มาเกิด มาเกิดในมนุษย์ พอมาเกิดในมนุษย์มนุษย์มีอะไร มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕

ขันธ์ ๕ เห็นไหม ถ้าขันธ์ ๕ มันเกิดกับจิตโดยธรรมชาติ ปฏิสนธิจิตไม่มีขันธ์ ถ้ามันมีขันธ์ ๕ โดยธรรมชาตินะ ปฏิสนธิจิตมีขันธ์ ๕ อยู่โดยที่ไปเป็นข้อเท็จจริงที่ว่ามันเป็นจริงนะ จิตดวงนี้ไปเกิดเป็นพรหมไม่ได้ ถ้าคนทำดีขนาดไหนก็ไปเกิดเป็นพรหมไม่ได้ จิตนี้มันไปขัดแย้งกับวัฏฏะ วัฏฏะ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ กามภพ คือ ตั้งแต่เทวดาลงมา รูปภพคือพรหม อรูปภพก็คือพรหม เห็นไหม

แล้วทีนี้เวลาไปเกิดเป็นพรหมมันมีขันธ์เดียว แล้วขันธ์ ๕ ถ้ามันตายตัว มันก็เกิดเป็นพรหมไม่ได้สิ มันไปพรหมไม่ได้เพราะมันขัดแย้ง มันขัดแย้งกับวัฏฏะเห็นไหม

แต่ถ้าเป็นปฏิสนธิจิตนะไม่มีขันธ์เลย เวลาเกิดเป็นพรหมนะมันก็ขันธ์ ๑ เกิดเป็นเทวดาก็ขันธ์ ๔ มาเกิดเป็นมนุษย์ล่ะ มาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานล่ะ มาเกิดในนรกอเวจีล่ะ เพราะมันเป็นพลังงาน มันไปตกอยู่ในภพใด มันถึงได้สถานะภพนั้น ทีนี้พอมาเกิดในมนุษย์ มันมีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ แล้วธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันเป็นตายตัวนะ เวลาพระอรหันต์ตายกับปุถุชนตายต่างกันอย่างไร

เวลาพระอรหันต์ตายนะ เพราะพระอรหันต์ เวลาเป็นพระอนาคาเห็นไหมขันธ์นี่ขาดแล้ว เหลือแต่จิตล้วนๆ เวลาทำลายจิตหมดแล้ว มันเป็นธรรมธาตุ มันขาดตั้งแต่ อย่างเช่น พระพุทธเจ้าเวลาอยู่โคนต้นโพธิ์ ท่านสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว กิเลสมารเห็นไหม เวลาบอกว่าเราฉันอาหารของนางสุชาดา เราถึงซึ่งกิเลสนิพพาน

เราฉันอาหารของนายจุนทะ เราถึงซึ่งขันธนิพพาน เห็นไหม เวลาฉันอาหารของนางสุชาดาบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าแล้วขันธ์ ๕ กับจิตมีอยู่ มีอยู่แต่ต่างคนต่างอยู่เห็นไหม เพราะว่าตัวธรรมธาตุ ตัวนิพพานอาศัยร่างนี้อยู่ แล้วก็ใช้ขันธ์ ๕ กับร่างนี้เป็นประโยชน์เห็นไหม

เพราะพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่วันตรัสรู้ นี่ไง คือ ขันธนิพพาน สอุปาทิเสส นิพพานพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ เวลาฉันอาหารของนายจุนทะ เวลาตายเห็นไหม อานนท์เธอบอกเขานะพระอานนท์วิตกวิจารว่า ชาวบ้านเขาจะติเตียนนายจุนทะว่า เพราะนายจุนทะถวายอาหาร อาหารเป็นพิษ พระพุทธเจ้าเลยปรินิพพาน เขาจะไปโทษนายจุนทะ พระพุทธเจ้าเลยบอกว่า

“อานนท์เธอบอกเขานะ ในพุทธศาสนา ทานที่มีคุณค่ามากที่สุดมีอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งเราฉันอาหารของนางสุชาดา เราถึงซึ่งกิเลสนิพพาน อีกคราวหนึ่งเราฉันอาหารของนายจุนทะ เราถึงซึ่งขันธนิพพาน”

เห็นไหม ขันธ์ๆๆ ขันธนิพพาน ขันธ์ นิพพานได้ไหม ขันธ์มันเป็นวัตถุ ขันธ์เป็นสสาร มันนิพพานได้หรือเปล่า ไม่ได้หรอก ขันธ์มันเป็นขันธ์เห็นไหม ฉะนั้นเวลาพระอรหันต์ตาย พระอรหันต์ตายมันไม่มีขันธ์อยู่แล้ว มันขาดอยู่แล้ว แต่สำหรับเรา เรามนุษย์ตายนะ ปุถุชนนี่ตาย จิตกับขันธ์เป็นเนื้อเดียวกัน ขันธ์ คือ อะไร ขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สัญญา ลูกเรา เมียเรา สมบัติเรา เวรกรรมของเรา เราเคยทำชั่วที่นั่น เราเคยทำดีที่นี่ เราเคยทำร้ายใคร วิตก วิจารเกิดกรรมนิมิตเห็นไหม เพราะขันธ์กับจิตมันเป็นอันเดียวกัน

แต่พระอรหันต์ตั้งแต่พระโสดาบันน่ะขันธ์อย่างหยาบขาดแล้ว ขันธ์น่ะ แล้วบอกจิตเป็นขันธ์ จิตเป็นขันธ์ไม่ได้ จิตไม่เป็นขันธ์ วิญญาณขันธ์ จิตเป็นวิญญาณขันธ์ จิตส่งออกไม่ได้เป็นไปไม่ได้ ขันธ์เป็นขันธ์ จิตเป็นจิต คนภาวนาไม่เป็น มันไม่เคยเห็นน่ะ แล้วธรรมชาติของจิตมันเป็นอย่างนี้ ที่ว่าจิตมันฟุ้งซ่าน แล้วจิตมันก็สงบเป็นธรรมดา จิตมันปล่อยวางเป็นธรรมดา ในการปล่อยวาง เช่นเราทุกข์เห็นไหม เวลาเราทุกข์ร้อนมากนะ กาลเวลามันสมานให้เราสบายใจได้นะ เห็นไหมมันปล่อย ธรรมชาติของจิตมันเป็นอย่างนั้นน่ะ

หลวงตาบอกเลย บอกว่ากิเลสนี่มันร้ายนัก มันข่มขี่จิตเราตลอดเวลานะ แต่เวลาทุกข์นักนะมันก็ปล่อยให้หายใจหน่อยหนึ่ง คือปล่อยให้สบายใจนิดหนึ่ง เฮ้อ แล้วมันก็ขี่ต่อไง กิเลสมันร้ายนัก ธรรมชาติมันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว นี่พระอรหันต์พูด พระอรหันต์พูดพระอรหันต์รู้จักจิต เห็นจิต รู้จิต เข้าใจธรรมชาติของมัน แต่ปุถุชนอ้างว่าเป็นพระอรหันต์ไง ไม่รู้จักมันเลย ไม่รู้จักจิต ไม่เคยเห็นจิต ไม่เข้าใจกระบวนการของจิต แล้วก็บอกว่าต้องทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ผิด เลยกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ แล้วสังคมเชื่อกันไปนะ

ดูจิตเหมือนการเพ่งกสิณ อย่างนี้ใช้ไม่ได้ แต่หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนนะ บอกว่าให้รู้จิต ดูจิต แต่การรู้การดูของท่านน่ะ ให้รู้แบบหลวงตา หลวงตาท่านสอนปัญญาอบรมสมาธิน่ะ อย่างเช่นว่า อารมณ์มันเกิดขึ้นเห็นไหม บอกว่าให้ดูเฉยๆ ใช่ไหม ให้ดูอย่าขืน อย่าดื้อ อย่าดึงมัน มันจะไปขัดแย้งนะ

แต่ถ้าเป็นหลวงตาสอนนะ อย่างหลวงปู่ดูลย์น่ะ ความปรารถนาของหลวงปู่ดูลย์น่ะท่านให้ดูจิต ให้ดูจิต จิตมันมีอารมณ์ อารมณ์มันชักนำให้จิตไปตามอารมณ์ของมัน ทุกข์ยากไปตามอารมณ์นั้น อารมณ์นั้นมันให้ผลค่าอย่างไรกับจิตเห็นไหม

การพิจารณามันเห็นโทษของมันเห็นไหม เห็นโทษน่ะเห็นโทษในอารมณ์ อารมณ์เกิดจากอะไร อารมณ์เกิดจากตัณหาความทะยานอยาก อารมณ์เกิดจากความไม่รู้ของเรา ปัญญามันเกิดขึ้นมันเห็นการดับ การเกิดการดับ เห็นไหมจิตหยุดน่ะ คำว่าจิตหยุดไม่ได้ จิตดับไม่ได้ จิตดับไม่ได้ เราอ่านแล้ว มันรู้สึกว่ามัน ฮู้ ทำไมมันอนุบาลขนาดนี้วะ ทำไมมันไม่รู้เรื่องอะไรเลยวะ ทำไมมันอ่านไปตรงไหน มันก็ผิดไปตรงนั้น ผิดไปทั้งหมดเลย เพราะเริ่มจากความไม่รู้

ถ้าเป็นความรู้นะ เพราะอะไร ถ้าใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เขาก็บอกมันขัดขืนไง แล้วหลวงตาพูดไว้ตลอดเลยเห็นไหม หลวงตาพูดไว้ตลอดเลย ว่าต้องให้สอนต่อสู้ขัดขืนกับกิเลสของเรา การฝืนเรา คือ ฝืนกิเลส มันจะไปไม่ให้ไป หลวงตาพูดประจำ คือ เราคิดว่าเราจะไปทำอะไร จะทำอะไรตามอำนาจของใจ ท่านบอกว่าบังคับมันไม่ให้ไป ถ้าไม่ให้ไปมันก็จะไปไม่ได้ หลวงตาพูดอย่างนี้จริงหรือเปล่า จริงไหม ให้ขืน ให้ดื้อ ให้ดึง ใช่ไหม

เขาบอกว่าไม่ได้ ไม่ได้ ถ้าอย่างนี้ผิดหมดเลย คนสอนผิดนะ บอกว่าคนสอนถูกว่าผิด แล้วมัน ที่เราพูดมันก็ว่า เพราะภูมิครูบาอาจารย์เรานี่สอนถูก แต่ท่านไม่ออกมาโต้แย้งเห็นไหม แต่อย่างที่หลวงตาว่าน่ะเรื่องของเขา เรื่องของเราให้ดูใจเรา ให้ดูใจเรา พรรคพวกเราเคยบอก โอ้โฮ หลวงตาท่านไม่โต้ไม่แย้งใคร ใครที่ไม่โต้ไม่แย้งก็ว่าหลวงตาเห็นด้วยไง ทุกคนบอกว่า เห็นด้วยหมดเลย แต่เอาทฤษฎีมาเทียบสิ แล้วหลวงตาท่านไม่พูดน่ะ แล้วท่านไม่ให้ใครพูดด้วย แต่เราดันเสือกพูด (หัวเราะ)

เราพูดเพราะว่าเราสงสารน่ะ เราพูด เราไม่ได้พูดเพราะว่า จริงๆ เราไม่ต้องพูดก็ได้ เมื่อวานเราก็พูดบอกว่าจริงๆ เราไม่ต้องพูดก็ได้ เพราะเราไม่สงสัยเรื่องนี้เลย เราไม่สงสัยเรื่องผิดถูกนะ เราไม่สนใจเลย เราเห็นว่าผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วเราไม่เชื่อด้วย ถ้าเราไม่เชื่อคือเราไม่เป็นเหยื่อไง คือเราไม่มีผลเสียกับทฤษฎีคำสอนของเขานะ

แล้วเราพูดเพื่ออะไรล่ะ เออ ถ้าเราสงสัยด้วย เรามีส่วนได้ส่วนเสีย เราพูดเพื่อส่วนเรา นี้เราไม่ได้พูดเพราะมีส่วนได้ส่วนเสียนะ เราพูดถึงว่ามันจริงหรือไม่จริง ข้อเท็จจริงนั้นมันจริงหรือไม่จริง ฉะนั้นบอกว่าห้ามฝืน ห้ามดื้อ ห้ามดึง มันก็เหมือนขับรถตกเหว

นี่ก็เหมือนกันเวลาทำสมาธินะ ก็เอาจิตตกเหว เอาจิตตกไปในไม่มีอะไรเลยไง อ้าว ก็ห้ามจงใจ ถ้าจงใจผิด จงใจคือสติ ถ้ามีสติมันจะถูก อย่างนี้ถ้าคนขับรถบนถนน ตามกฎจราจร พวกนี้ผิดหมดเลย แล้วพวกดูจิตมันจะขับรถตามใจมัน แล้วมันจะฝืน มันจะดันไปได้หมดนะ สี่แยกไหนไฟแดงไฟเขียวไม่รู้ มันดันไปหมดเลย อ้าว ก็ไม่ดื้อ ไม่ดึงไง ไม่ขัดขืนไง

เขียวกับแดงก็ไม่เป็นไร ก็ไปมันเรื่อยเฉื่อย ไม่เจาะจงไง แดงกูก็ฝ่าไปได้ เออ แต่ไอ้พวกมีสติ ไอ้พวกพุทโธไฟแดงไปไม่ได้นะ ไฟแดงเป็นกิเลส ไฟแดงผิด อย่างนี้เป็นคนผิดนะ แต่ถ้าไฟเขียวไฟแดงแล้วรถมันก็ไหลไปเรื่อยๆ น่ะ อ้าว ก็รถมันไหลไป เอ้อ ไม่เจาะจง

ฟังแล้วเศร้านะ เวลาเราอ่านหนังสือ เราตีความอย่างนี้ เราคิดถึงความคิด คิดถึงอารมณ์ คิดถึงคนเห็นผิด คนที่เห็นผิดแล้วเชื่อมั่นว่าถูก เขาก็ต้องทำอย่างนั้นตลอดไปจริงไหม แล้วเขาจะได้อะไรมา เขาจะได้อะไรมาในการกระทำผิดของเขา แล้วสังคมเป็นอย่างนั้นไปหมดเลย สังคมเป็นอย่างนั้นไปเพราะอะไร เพราะว่าหลวงตาบอกไว้แล้วโลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา สุตตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญาคนน่ะรู้เห็นได้ยากมาก แล้วคนที่จะรู้เห็นภาวนามยปัญญาด้วยความเป็นจริงน่ะ มันมีน้อยมาก

แต่ในวงในของหลวงตานะ เราอยู่กับหลวงตามา วงในหมายถึงเวลาท่านเทศน์กับพระ ท่านเทศน์วงใน ท่านพูดบ่อยว่าผู้รู้มีนะ เวลาท่านพูดอธิบายให้พระวงในฟัง ท่านจะบอกเลยว่าทิฏฐิอย่างนี้ผิด ทิฏฐิอย่างนี้ถูก ความเห็นอย่างนี้ผิด ความเห็นอย่างนี้ถูก เพราะตอนเราอยู่กับท่าน พระยังน้อยอยู่ มีพระปฏิบัติผิดพลาดเยอะมาก แล้วลูกศิษย์น่ะไปถามท่าน ท่านจะพูดเฉพาะในวงพระ ว่าทิฏฐิอย่างนี้องค์นี้มีความเห็นอย่างนี้ผิดแล้ว ออกนอกทางละ ความเห็นอย่างนี้ถูก อย่างนี้ผิด ท่านพูดในวงของพระนะ

ถ้าวงพระนี่ท่านพูด ทีนี้วงนอกออกมามันกระเทือนกันใช่ไหม มันมีได้มีเสีย ท่านก็ไม่ค่อยได้พูด ทีนี้พอไม่ได้พูดเราก็เห็นว่าท่านอาจเห็นด้วย แต่ไม่เห็นด้วยหรอก ไม่เห็นด้วยเพราะคนมันเห็นผิด พอเห็นผิดมันก็ไหลไปในทางที่ผิด เพราะเขามีแนวคิดอย่างนี้ เขาถึงได้บอกว่าสติไม่ต้องฝึก เห็นไหม

แล้วสมาธิ เหมือนเขาดูถูกสมาธิเลยล่ะ เขาดูถูกสมาธิดูถูกพวกนี้ว่ามันไม่มีประโยชน์ มันทำให้เสียเวลาเปล่า แต่การใช้ปัญญาอย่างเขามันจะบรรลุธรรมกัน บรรลุธรรมกัน มันเห็นผิดมาตั้งแต่ต้น ปัญญาที่เขาใช้คำว่าปัญญาๆ ของเขา มันเป็นโลกียปัญญา มันเป็นปัญญาจากกิเลส คือ ปัญญาจากจิต ปัญญาจากภพ

จิต คือ ภพ จิต คือ สถานที่ ความคิดเกิดจากจิต จิต คือ สถานที่ตั้ง จิต คือ สถานที่เก็บข้อมูลความดีความชั่วของบุคคลแต่ละบุคคล เก็บความดีความชั่วของจิตที่มันเกิดตายในวัฏฏะนี้ ถ้ามันเก็บความดีความชั่วไม่ได้ พระพุทธเจ้าเกิดไม่ได้ พระพุทธเจ้าสร้าง ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย มันจะซับสมมา ไม่เช่นนั้นบารมีของพระพุทธเจ้าเกิดตรงไหน อ้าว เจ้าชายสิทธัตถะเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วมันขาดตอนกับบารมีที่สร้างมา เจ้าชายสิทธัตถะก็เท่ากับมนุษย์คนหนึ่ง มนุษย์คนหนึ่งก็เท่ากับมนุษย์คนหนึ่ง

แล้วมนุษย์คนหนึ่งทำไม มีวุฒิภาวะ มีเชาวน์ปัญญาได้ขนาดนี้ เชาวน์ปัญญามันเกิดจากไหน มันเกิดจากจิต เพราะเกิดจากจิต มันก็สาวย้อนไปตั้งแต่สร้างมาเป็นพระโพธิสัตว์ บารมีพระโพธิสัตว์มันหนุนจิตของพระพุทธเจ้ามาให้เกิดปฏิภาณ ฉะนั้นการเกิดและการตาย มันข้อมูลทั้งหมด มันอยู่ที่จิตหมด ทีนี้อยู่ที่จิตหมด เขาก็บอกว่าไม่ได้อีก จิตเห็นจิตนะ จิตดวงแรกดับไป กลายเป็นสัญญาอารมณ์ให้จิตดวงที่สองมารับรู้ อ้าว เพราะเขาคิดว่าจิตนี้ไง จิตเป็นขันธ์น่ะ มันเป็นดวงไง จิตมันเป็นดวง มันเป็นขันธ์

เขาบอกว่าสันตติ แล้วก็ว่าชาวพุทธนี้เข้าใจผิดนะ ว่าจิตนี้เป็นนิรันดร์ ดูหลวงตาครูบาอาจารย์ท่านสอนเห็นไหม ว่าจิตนี้ไม่เคยตาย เขาบอกไม่ได้ ถ้าจิตไม่เคยตายก็เป็นนิรันดร์ขึ้นมาอีก อ้าว จิตนี้ไม่เคยตาย ตัวมันเองไม่เคยตาย แต่เพราะจิตนี้มันเป็นธรรมชาติ มันเป็นสสารที่มีชีวิต มันเป็นจิตที่มันเป็นความมหัศจรรย์ มันเป็นสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าจิตนี่เป็นเป็นสิ่งเดียวที่จะเข้าไปสัมผัสกับธรรมะ จิตเป็นสิ่งเดียว เป็นภาชนะสิ่งเดียวที่สัมผัสกับธรรมะได้ ความรู้สึกเราเป็นสิ่งเดียวที่สัมผัสกับธรรมะได้ อย่างอื่นไม่มี

ทีนี้พอจิตมันสร้างบุญญาธิการมาเห็นไหม จิตมันสร้างบุญญาธิการของมันมาขนาดไหน มันสร้างเป็นบารมีอำนาจวาสนาของจิตนั้นมา คำว่าสันตติ คือ ว่ามันอยู่ในตัวของมันเอง มันถึงจะเกิดดับ มันก็เหมือนปัจยาการน่ะ อวิชชา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง สิ่งนี้มีถึงมีสิ่งนี้ สิ่งนี้มี มันทับซ้อนกันเห็นไหม สิ่งนี้มีมันก็มีสิ่งนี้ เพราะสิ่งนี้มันทับซ้อนอยู่กับสิ่งนี้ สิ่งนี้มันทับซ้อนอยู่ด้วยกัน มันทับซ้อนอยู่ ถ้ามันเป็นอันเดียว มันเป็นอัตตามันไปไม่ได้ มันไม่เป็นดวงอย่างนั้นหรอก มันเป็นเหมือนปัจยาการน่ะ

คำว่าปัจยาการ อวิชชา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง สิ่งนี้มีถึงมีสิ่งนี้ อิทัปปัจยตาเห็นไหม สิ่งนี้มีถึงมีสิ่งนี้ สิ่งนี้ถึงมีสิ่งนี้ มันเกี่ยวเนื่องกัน คือ ไม่ขาดกัน ไม่ใช่จิตดวงหนึ่งดับไป จิตดวงที่ดับไปเป็นสัญญาอารมณ์ให้กับจิตดวงอื่นรับรู้ต่อไป

เขาจะอธิบายจิตเป็นวิทยาศาสตร์ไง เกมส์เลย เกมส์ มันบอกถึงความไม่รู้เห็นไหม ถ้าเป็นจิตแท้ๆ นี่มันเป็นปัจยาการ ไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์นี่มันขาดนะ ขันธ์เห็นไหม รูป ความรู้สึกรูปเห็นไหม สัญญา เวทนา สัญญา ทุกขเวทนา สัญญามันเป็นขันธ์เป็นกอง มันขาดกัน มันแยกได้ มันขาดได้ แต่ปัจยาการมันขาดไม่ได้ มันเกี่ยวเนื่องกัน เหมือนตะขาบเห็นไหม ตัวเดียวกันมันมีปล้องมันเยอะเห็นไหม ตะขาบตัวเดียวกัน แต่เขาเรียกตะขาบ ปล้องเป็นตัวๆ ตัวหนึ่งแยกออกจากกัน ไม่ใช่ มันก็ตายหมดนะสิ โอ๊ะ จิตเป็นนิรันดร์

เขาหาว่าพระป่า ว่าจิตเป็นนิรันดร์ คือ จิตไม่มีอยู่ คือว่าครูบาอาจารย์เราพูดอย่างหนึ่ง เขาตีความอีกอย่างหนึ่ง จิตนี้ไม่เป็นนิรันดร์ จิตนี้ไม่เป็นนิรันดร์ ไม่มีใครเขาใช้ว่าจิตเป็นนิรันดร์หรอก เขาเข้าใจของเขาเอง เพราะความไม่รู้ของเขา เขาเข้าใจเอง เขาก็เลยเขียนแสดงความรู้ออกมา เรารอตลอดเห็นไหม บอกว่าให้เขาพูดความจริงของเขาออกมา ความจริงของเขาออกมา เวลาเขาบอกว่า เขาเขียนหนังสือเขาเขียนตามอภิธรรมทั้งหมด เขาไม่ได้เอาความจริงของเขาออกมา พอเอาความจริงของเขาออกมาเห็นไหม หมดเกลี้ยงเลย ล่อนจ้อนนะ

หนังสือเล่มนี้เราเก็บไว้ แล้วอย่าถามอีกนะ อย่าถามนะว่าอาจารย์สงบน่ะได้อ่านหนังสือของ เขาหมดหรือยัง ตัดตอนมาพูด ชอบตัดตอนมาพูด ตัดตอนส่วนตัดตอนนะ หลวงตาสอนอย่างนี้ ศีลจะรู้ว่าศีลเราดีไม่ดี อยู่ด้วยกันเหมือนครอบครัวเดียวกัน จะรู้นิสัยกัน ธรรมะจะรู้ต่อเมื่อแสดงธรรม นี่ไงธรรมะต่อเมื่อแสดงออกมาจากความรู้สึกของตัวเอง ความรู้สึกจริงของตัวเองน่ะแสดงออกมา มีหรือไม่มี นี่หนังสือนี้เขียนออกมาเพราะอะไร

เพราะเขาบอกว่า หนังสือนี่ เพราะลูกศิษย์ของหลวงปู่ดูลย์น่ะตีความ ตีความโศลกของหลวงปู่ดูลย์นี่ผิดหมด เขาถึงต้องเขียนโศลกของหลวงปู่ดูลย์ให้ชัดเจน ให้ชัดเจนในความเห็นของเขา เขาก็เอาความเห็นออกมา นี่ไงที่ว่าความรู้ของตัวไง ถ้าเอาความรู้ของตัวออกมา มันเลยเปลื้องผ้าล่อนจ้อนเลย ถ้าเปลื้องผ้ามาขนาดนี้นะ คนอื่นอ่านเพราะหนังสือนี้ออกมาตั้งแต่ปี ๕๑ ยังไม่มีใครวิจารณ์ได้เหมือนเรานะ ถ้าวิจารณ์นะเราบอกเลย ล่อนจ้อนขนาดนี้ เดี๋ยวต้องรีบๆ ไปเอาหนังสือเล่มนี้ออก ออกจากเว็บไซต์ เพราะมันชัดเจนมาก จิตว่างไม่มีในพระพุทธศาสนา จิตว่างนี้ไม่มีจริง สตินี้เป็นอนัตตา แล้วสมาธิเป็นอนัตตา ไม่ใช่!

ถ้าเป็นอนัตตา มันไม่มีมาแต่แรก มันเป็นอนิจจัง อนิจจัง คือ เราสร้างสติเห็นไหม สติถ้าเราฝึกใช่ไหม เราฝึก พอฝึกแล้วมันตั้งอยู่กับเราได้ไหม มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป มันเป็นอนิจจัง เพราะมันเป็นอนิจจัง เราถึงพยายามฝึกฝนกัน ฝึกฝนใจให้เรามีความชำนาญ ชำนาญในวสี สิ่งนั้นน่ะเหตุ มีเหตุก็มีผล เราทำของเราจนจิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นก็จิตว่างไง จิตหนึ่งไง เขาบอกจิตหนึ่งไม่มีอีก แสดงว่าไม่เคยทำสมาธิ คือ ตัวเองไม่ถึงสมาธิไง สมาธิ แล้วว่าสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิของพระป่า คือ ตัวแข็งๆ

สัมมาสมาธิของเขา คือ จินตนาการไง พอจินตนาการนะสัมมาสมาธิต้องเกิดบนจิต พอจิตที่เป็นสัมมาสมาธิ มรรคทั้ง ๗ จะมารวม มารวมในสัมมาสมาธิกลายเป็นมรรค ๘ กลายเป็นมรรคญาณชำระกิเลสโดยฉับพลัน

อู๋ย กูปวดหัว กูนอนสะดุ้ง ๓ ชั้น ๔ ชั้น ก็กูไม่เคยเห็นมรรค ๑ กับมรรค ๗ มารวมกันเนาะ กูไม่เห็นหัวรถไฟไง หัวรถไฟมันลากตู้รถไฟ ๗ ตู้มา อุ้ย กูจะคลั่ง ไปอ่านถึงการเขียนของเขาแล้ว อื้อฮือ มันอธิบายเหมือนหนังน่ะ มันสร้างพล๊อตเรื่องขึ้นมานะ แล้วมันอธิบายไปหมดเลย ไม่เป็นความจริงสักอย่างหนึ่ง

นี่พูดถึงเพราะเขาบอก เขาพูดอธิบายมรรคนี้ ขำมาก เวลาอธิบายครั้งแรกนะ บอกมรรคนี่นะ สัมมาอาชีวะก็หมายถึงว่า การไม่คดไม่โกงใช่ไหม สัมมาอาชีวะมันอธิบายอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าอธิบายอย่างนี้มันก็เหมือนเราเอาแบงค์มา เอาแบงค์นี้ไปเข้าธนาคาร เข้าธนาคารไปแล้วมันก็เป็นเช็ค ใช่ไหม เป็นดราฟ เป็นอะไรใช่ไหม ทีนี้คำว่าแบงค์ คือ เงินสด เอาเงินสดมาแล้วก็นับเงินสด แต่เวลาไปรวมเป็นดราฟล่ะ เงินสดไปไหน นี่ก็เหมือนกันพูดถึงเวลาที่อธิบายมรรค เงินสดหมายถึงเราใช้กันในท้องตลาด ทำธุรกิจเขาไม่ต้องใช้เงินสดนะ เขาโอนเงิน เขาโอนเข้าบัญชี

เวลามรรคของพื้นบ้าน มรรคของสังคมเห็นไหม สัมมาอาชีวะก็เลี้ยงชีพชอบ เราทำงานชอบ แต่พอปฏิบัติขึ้นไป อย่างนั้นใช้ไม่ได้ อย่างนั้นใช้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นใช้ได้นะ เราโอนเงินน่ะ โอนเงินปั๊บเราจะเอาเงินนี้ใส่เป้เอาไปให้เขาเหรอ ไม่ต้องใช่ไหม ธนาคารเขาโอนให้ใช่ไหม ไอ้นี่เขาคิดว่าโอนเงิน เขาก็เอาเงินใส่เป้มั้ง เอาเงินใส่เป้แล้วจะไปให้เขา เพราะอะไรรู้ไหม สัมมาอาชีวะการค้าการขายมันเป็นอาชีพจากการเลี้ยงปาก

สัมมาอาชีวะหรือว่ามรรคญาณของจิต มันเป็นความรู้สึกของจิต มันเป็นกิริยาของจิต มันไม่ใช่การกระทำของร่างกาย ถ้ามันเป็นการกระทำของจิต มันจะต้องเลี้ยงชีพชอบ มันจะต้อง เอ้อ มีค้าขายอีกเหรอ ทุกวันเข้านะ กูจะปล่อยก๊ากน่ะ โอ้ อธิบายมรรคอย่างนี้เหรอวะ

แล้วพออธิบายอย่างนี้เสร็จแล้วนะ พอไปอธิบายอีกจุดหนึ่งนะ ก็ว่ามรรคสัมมาสมาธิจะเกิดบนอะไรก็เกิดบนจิต ในเมื่อมีสัมมาสมาธิเป็นพื้นฐานแล้ว มรรคทั้ง ๗ ก็จะมารวมตัวกันทันที มรรคทั้ง ๗ อย่างนั้นพวกเราปฏิบัติไม่มีหลงเนาะ เพราะมรรคมันจะมารวมตัวกันทันที ใครพิจารณากายแล้วนะ กิเลสขาดหมดล่ะ เพราะมรรคมันจะมารวมตัวกันทันทีเลย มันไม่มีไง มันไม่เป็นจริงไง คำอธิบายนี่น่ะผิดหมด เราเขียนว่าผิดหมด ผิดหมดน่ะ

อธิบายมรรคอย่างนั้นมันก็เป็นมรรคของโลก เป็นมรรคของฆราวาส ฆราวาสธรรม ไม่เป็นมรรคของนักบวช ไม่เป็นมรรคของภิกษุ ไม่เป็นมรรคของนักรบ แล้วเป็นมรรคของนักรบ มรรคโสดาปัตติมรรค สกิทาคามรรค อนาคามรรค อรหัตมรรค มันต่างกันอย่างใด สติ มหาสติ ปัญญา มหาปัญญามันต่างกันอย่างใด แล้วการต่างไม่มีการขัดแย้ง ธรรมะไม่มีการขัดแย้งกัน ธรรมะจะไหลไป แม่น้ำเจ้าพระยาเกิดจากตาน้ำที่ดอยอินทนนท์เป็นแม่น้ำปิง แม่น้ำปิงไหลลงมา มารวมที่นครสวรรค์ นครสวรรค์มารวมกันเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำเจ้าพระยาจะไหลลงทะเล

โสดามรรค สกิทาคามรรค อนาคามรรคไม่มีการขัดแย้งกัน แต่มันเป็นขั้นตอนของมันไป ที่แม่น้ำทั้งหลายจะไหลมารวมตัวกัน พอไหลมารวมตัวกันมันก็เป็นแม่น้ำใหม่ ไหลลงไป ไหลลงไป ไหลลงไปจนถึงนิพพาน ไม่มีการขัดแย้งกัน มรรคในศาสนาในธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่มีการขัดแย้งกัน ไม่มีการโต้แย้ง ไม่มีการขัดแย้งกันในธรรมะของพระพุทธเจ้า ธรรมะของพระพุทธเจ้าจะไปทางเดียวกัน

ถ้ามีการขัดแย้งกันต้องมีคนหนึ่งผิด โธ่ เราอ่านหนังสือนะจิตว่าง เราเห็นแล้วเราเศร้าใจ หลวงตาท่านพูดอยู่ทุกวัน จิตว่าง จิตคนว่างงาน แล้วก็บอกจิตว่างไม่มี ไม่มีมึงก็ค้านหลวงตาเต็มๆ แล้วพุทโธไม่ได้มันก็ค้านพระพุทธเจ้า ค้านหลวงปู่มั่น ค้านหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เราพุทโธกันทั้งนั้นน่ะ

แล้วบอกเลยในชาวพุทธใครกำหนดพุทโธ คนนั้นตกสมัย คนนั้นโดนหลอก พุทโธ พุทโธ พุทโธตัวแข็งตัวทื่อ ตัวแข็งตัวทื่อพระอรหันต์เยอะแยะเลย แล้วที่ทำมามันได้อะไร ก็ได้ขี้ไง พูดถึงสังคมไทยเห็นไหม มันไม่มีใครโต้แย้ง

แล้วอย่างว่าเราโต้แย้งไป พอโต้แย้งอย่างนี้เขาบอกแบบว่า ตอนนี้ออกมาแล้ว จะทำให้สงฆ์เป็นสังฆเภท ให้สงฆ์เป็นสังฆเภท ไม่ใช่ เป็นสงฆ์ที่ไหน บุคคลกับบุคคลฉะกัน พระองค์หนึ่งกับพระองค์หนึ่งไม่ใช่สงฆ์นะเว้ย นี่บุคคลกับบุคคลล่อกัน มันจะเป็นสงฆ์ที่ไหน

อ้าว เขากับเรามันก็สองคนเท่านั้นเอง เป็นสงฆ์เหรอ ไม่มี สงฆ์ไม่มี บุคคลกับบุคคลล่อกัน บุคคลกับบุคคลคุยธรรมะกัน บุคคลกับบุคคลคุยให้ธรรมะนี่มันเป็นสัจธรรม ให้ธรรมะมันอยู่มั่นคงต่อไป ไม่มีสังฆเภท ไม่มี ตอนนี้เขาเริ่มของเขาออกแล้ว ถ้าอย่างพระสงบไม่หยุด มันจะเป็นสังฆเภท เขาว่านะ หยุด เพราะแก่นธรรมของหลวงปู่ดูลย์มันบอกถึงก้นบึ้ง มันไม่มีอะไรอีกแล้วไง มันไม่มีอะไรลึกซึ้งไปกว่านี้อีกแล้ว ไม่มีอะไรจะซ่อนเร้นอีกแล้ว แก่นธรรมของหลวงปู่ดูลย์น่ะเขาเปิดใจของเขาออกมาแล้ว แล้วไม่มีอะไรเลย ไม่มี

ถ้ามีไม่กล้าพูดอย่างนี้ เพราะคำว่าจิตว่างไม่มี คำว่าสติไม่ต้องทำเลยนี่ มันใช้ไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ หลวงตาพูดตรงข้ามหมดเลย แต่มันเป็นที่ว่าคนดี เป็นคนดีมันยากหน่อยหนึ่ง เห็นไหมที่โยมมาน่ะ บอกว่าพุทโธมันยาก เออยาก พุทโธมันยาก ยอมรับว่าพุทโธมันยาก เพราะทำความดี จิตมันสงบนั้นมันเป็นความจริง มันยากไหม ยาก ถ้ามันง่ายๆ นะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นแล้วท้อใจเลยล่ะ จะสอนได้อย่างไร แล้วมุมมองมันลึกซึ้งเห็นไหม เราใช้คำว่าคนละมิติเลย

เวลาพูดเราให้เห็นภาพชัดไง ว่าปัญญามันคนละมิติ ปัญญาของขั้นโสดาบันน่ะ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ปัญญาของขั้นสกิทา ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ปัญญาของขั้นอนาคา ๗๕ เปอร์เซ็นต์ ปัญญาของพระอรหันต์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ คน มันความต่างของความลึกตื้นของปัญญา มันต่างกัน โสดาบันน่ะคุยขั้นโสดาบันรู้เรื่อง พระโสดาบันนะฟังปัญญาของขั้นสกิทาไม่ออก ขั้นของ สกิทาฟังขั้นของอนาคาไม่ออก ขั้นของอนาคาฟังขั้นของอรหันต์ไม่ออก ไม่ออกจริงๆ ไม่ออก แต่ถ้าใครอยู่ในขั้นเดียวกัน เข้าใจได้ ฟังได้ นี่ปัญญามันลึกซึ้งขนาดนี้

แล้วจะบอกว่าใช้ปัญญาอย่างที่คิดกัน ตรึกกันอย่างนี้ แล้วปัญญา ตามไปรู้ไป แล้วมันอย่าจงใจด้วยนะ ไอ้คำว่าอย่าจงใจ ถ้าเป็นพุทโธมันตกภวังค์หมด แต่อย่างนั้นมันไม่ถึงกับตกภวังค์ มันแบบว่า มันไม่มีเหตุผลไง มันไม่มีเหตุผล พอมันแบบว่ามันตามไป ตามความรู้สึกไป พอรู้สึกมันจะเป็นอะไรก็เป็นอย่างนั้น เพราะไม่ให้ฝืน ไม่ให้ขัดทั้งสิ้น แล้วไม่จงใจด้วย มันจะเป็นไปตามธรรมชาติของมัน เขาถึงมาเขียนว่าขณะจิตนี้เป็นอัตโนมัติไง อัตโนมัติหรือรู้เอง

ถ้าอัตโนมัติเรานอนหลับตื่นขึ้นมา ความรู้สึกที่ตื่นขึ้นมานั่นคืออัตโนมัติ รู้อะไรก็รู้อย่างนั้นน่ะ คือไม่มีเหตุไม่มีผลไง มันมาเอง มันมาเองแล้วมันก็ไปเอง อัตโนมัติน่ะ มรรคเป็นอย่างนั้นเหรอ มรรคไม่เป็นอย่างนั้น มรรคสามัคคีน่ะสติพร้อม คิดดูสิคำว่ามหาสติ สติพร้อมนะ คุมพร้อมนะ ปัญญาหมุนไป หมุนไปบนอะไร หมุนไปงานชอบ เพียรชอบ ความวิริยะอุตสาหะชอบ งานชอบ งานชอบในอะไร งานชอบในขั้นสมถะ ก็งานชอบในความสงบของใจ

งานชอบในขั้นของวิปัสสนา ในขั้นของโสดาบันก็พิจารณาสักกายทิฏฐิ งานชอบในขั้นของสกิทาพิจารณาถึงสัจธรรมระหว่างกาย กับ จิต งานชอบของอนาคานะกามราคะ ความผูกพันของปฏิฆะ คือข้อมูลของจิตทั้งหมด แล้วถ้าข้อมูลของจิตมันหมดไปแล้ว ในขั้นของพระอรหันต์ทำอะไร ในขั้นของพระอรหันต์น่ะ มันมีข้อมูลเห็นไหม ไอ้บุพเพนิวาสานุสติญาณเห็นไหม อดีตอนาคตที่มันยังซับสมอยู่ในจิต อนาคาน่ะข้อมูลของจิต ข้อมูลในชาติปัจจุบันนี้ไง ข้อมูลที่ว่าเราชอบใจเราพอใจ เรามีนิสัยอย่างไร

แต่ในขั้นของข้อมูล ข้อมูลจิตเดิมแท้ มันเป็นข้อมูลที่สืบยาวไกลตั้งแต่พระโพธิสัตว์เห็นไหม ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย มันชะล้างอย่างไร ถ้าชะล้างตรงนี้ไม่หมดนะ มันมีแรงขับอันละเอียด แรงขับอย่างนี้มันไม่ใช่แรงขับเกิดในวัฏฏะนะ แรงขับอย่างนี้มันขับไปเกิดบนพรหม บนพรหมที่มันธรรมชาติพลังงานเฉยๆ แล้วปัญญาอะไร ปัญญาที่เขาพูดปัญญาอะไร ภาวนามยปัญญาปัญญาเกิดอย่างไร

โห แล้วมาพูดว่าจิตว่างไม่มี จิตว่างไม่มี จิตว่างไม่มีอยู่จริง จิตว่างเป็นความเห็นผิด พุทโธเขาก็ว่าเห็นผิดนะ ไอ้ที่รับไม่ได้เต็มๆ ก็ว่าพุทโธนี้หลงผิด ชาวพุทธหลงผิดพุทโธมานาน แหม ไอ้คำนี้ฟิวส์ขาดเลยนะมึง ว่าไอ้พวกพุทโธหลงผิดกันมาเนิ่นนาน แล้วจะต้องหลงผิดกันตลอดไป แหม อยากเจอตัวต่อตัวจริงๆ น้า อยากเจอกันซึ่งๆ หน้า ทีนี้เขาก็เขียนแต่ตำราแล้วเผยแผ่ออกมาใช่ไหม แล้วเวลาเขาพูด พุทโธ พุทโธ เราต้องพิสูจน์กัน พุทโธ พุทโธ กว่าจะได้สมาธิแต่ละคนมันทุกข์มันยาก แล้วมันได้น่ะ พอมันได้แล้วนะ

ถ้าความจริงนะหลวงตาบอกเวลาใครได้สมาธิ แล้วไปบอกหลวงตา หลวงตาจะพูดคำนี้ไม่ต้องพูดเรารู้แล้ว ไม่ต้องพูดเรารู้แล้ว เพราะอะไรรู้ไหม เพราะหลวงตารู้ว่ามันพูดออกมาไม่ได้ ความจริงความรู้สึกน่ะ มันละเอียดลึกซึ้งกว่ากิริยาคำพูด เวลาใครได้ของจริงไปเล่าให้หลวงตาฟังน่ะ

หลวงตาจะพูดคำนี้เลยเรารู้แล้ว เรารู้แล้ว เรารู้แล้ว เพราะมันจะพูดออกมาทั้งหมดไม่ได้ เพราะความรู้สึกนี้มันมหัศจรรย์ มันล้ำลึก มันรู้เห็นไปมหัศจรรย์มาก แล้วจะพูดออกมาสมมุติน่ะ ภาษาสมมุติมันมีได้แค่นี้ไง มันจะพูดออกมาให้เห็นว่าเรารู้อย่างนี้ พูดออกมาไม่ได้เลย

แต่มันต้องรู้จริง มันถึงพูดอย่างนี้ได้ ฉะนั้นใครไปพูดกับหลวงตา หลวงตาจะบอกว่าเรารู้แล้ว เรารู้แล้ว ท่านเห็นใจว่ามึงไม่ต้องพยายามพูดหรอก เพราะมึงพูดออกมาไม่ได้ นี่คนรู้จริงกับคนรู้จริงเขารู้กันอย่างนี้ เรารู้แล้ว เรารู้แล้วไม่ต้องพูด

แต่นี่มานะใครมาก็หลวงพ่อว่างๆ ว่างๆ ไอ้นี่มันไม่รู้อะไรเลย มันไปพูดเรื่องอื่นไง ไอ้ความจริงน่ะเขารู้จริงแล้วเขาพูดออกมาไม่ได้ เพราะความรู้มันล้ำลึกนัก แต่เวลาบอกว่างๆ ว่างๆ คือไปพูดธรรมะพระพุทธเจ้าไง ไปพูดแต่ความว่าง แต่ตัวจริงมันไม่ว่างไง

อย่างนั้นเราบอกว่า แล้วสมมุติให้พุทโธได้ไหมล่ะ ได้ค่ะ เออแสดงว่ามึงไม่ว่าง ไอ้ที่พยายามพูดๆ มันพูดเป็นทางวิชาการ แต่ถ้าเป็นความจริงนะ มันพูดออกมาไม่ได้เลย มันพูดออกมาไม่ได้เลย มันตรงนี้ไง มันถึงว่าเราถึงเสียเปรียบไง หลวงตาถึงบอกเห็นไหม ถ้าธรรมะหลวงตาท่านพูดประจำ

“ถ้าทำแบบทีวีได้นะ พวกเราจะเห็นชัด แล้วพวกเราจะไม่ทำบาปกันเลย”

แต่เพราะมันเอาออกมาให้เห็น เปิดเป็นทีวีให้เราเห็นไม่ได้ แต่คนรู้จริงรู้ได้ คนรู้จริงรู้ได้ แล้วพอคนรู้จริงรู้ได้น่ะมาเห็นทฤษฎีอย่างนั้นน่ะ เขาดูทีวีกันมีภาพเคลื่อนไหว ไอ้นี่มันเป็นทีวีเด็กเล่น แล้วมันบอกว่าของมันของจริง มันยิ่งตลกเห็นไหม

ฉะนั้นบอกว่าจิตว่างมีจริง แต่เขาเขียนเองในแก่นธรรมนั่นน่ะ จิตว่างไม่มีอยู่จริง จิตว่างไม่มีอยู่ในพระพุทธศาสนา โอ๋ ฟังแล้วเศร้า ไปอ่านเองแล้วเศร้ามากนะ แล้วประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ ของแค่นี้ของพื้นฐานมึงยังรู้ไม่ได้ แล้วประสาเราจิตว่างไม่มี สมมุติพวกโยมนะไปทำสมาธิได้ แล้วไปบอกเขานะ เขาบอกมันไม่มี พวกโยมก็ผิดน่ะสิ ในเมื่อเขามีทิฏฐิอย่างนี้ แล้วถ้ามีคนทำได้จริงว่างได้จริงเป็นสมาธิได้จริง ไปรายงานเขา ถ้าเป็นลูกศิษย์เขานะไปรายงานเขา เขาก็บอกว่าผิด

ถ้าพูดอย่างนี้แล้วมันมีตอนอยู่กับหลวงตา มีโยมคนหนึ่งภาวนาเป็น ขันธ์มันขาด แล้วไปถามอาจารย์เขา อาจารย์เขาบอกไม่มี เขาว่าขันธ์มันขาดสูญไง เขาว่าขันธ์มันขาดแล้วต้องไม่มี แต่ลูกศิษย์เขาปฏิบัติแล้วขันธ์มันขาด แต่ขาดแล้วมีไง ก็ขัดแย้งกับอาจารย์เขาก็มาหาหลวงตา หลวงตาบอกมึงน่ะถูกอาจารย์มึงน่ะผิด อาจารย์มึงชื่ออะไร ทีแรกเขาไม่ยอมบอกนะแต่ตอนหลังเขาก็บอก เขาน่ะถูก

อย่างที่พระพุทธเจ้าน่ะ เวลาพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วมันขาดมีไง มันขาดที่กิเลสไง มันไม่ได้ขาดที่ขันธ์ มันขาดที่กิเลส พอกิเลสขาดปั๊บ ขันธ์กับจิตก็แยกออกจากกัน เพราะกิเลสมัน คือ สังโยชน์ กิเลสมัน คือ สังโยชน์มันรัดไว้ พอกิเลสมันขาด นี่ไงที่ว่าหลวงตาบอกขันธ์ก็จริงของขันธ์ ทุกข์ก็จริงของทุกข์ จิตก็จริงของจิต พอจริงต่างอันต่างจริงก็อยู่ด้วยกัน มันจริงหมดมันก็ขาดหมด

แต่เพราะอะไร ที่มันไม่ขาดเพราะอะไรรู้ไหม ไม่ขาดก็เพราะเราปลอมไง จิตเราปลอม เราไม่รู้จริง เรารู้ด้วยการคาดหมาย เรารู้ด้วยจินตนาการของเรา ในเมื่อจิตมันไม่จริง ขันธ์ก็เลยไม่จริง เพราะขันธ์เขาหลอกมึงไง เดี๋ยวดีเดี๋ยวชั่วไง พอจิตเราไม่จริงทุกอย่างมันก็ไม่จริงหมดเลย พอไม่จริงไม่จริง ของไม่จริงมาอยู่ด้วยกัน มันก็ล็อกไว้ด้วยสังโยชน์ไง สังโยชน์ คือ ความสงสัย ความไม่รู้จริง ก็ล็อกไว้ไง ล็อกไว้ เราก็ไม่มีอะไรเลย

แต่เวลามันจริงปั๊บมันขาดหมด พอมันขาดหมดเห็นไหม นี่ไงถ้าขันธ์มันเป็นจริง มันขาดแต่ขาดมี ถ้าไม่ขาด ขาดไม่มี ทำไมพระพุทธเจ้าจำพระสุทโธทนะได้ จำสามเณรราหุลได้ ความจำ คืออะไร คือ สัญญา สัญญา คือ ขันธ์ ๕ อ้าว แล้วทำไมพระพุทธเจ้าจำสามเณรราหุลได้ล่ะ ความจำนี้ คืออะไร นี่ไงมันขาดมีไง มันขาด กิเลสมันขาดไปมันยังมีอยู่ มีอยู่ คือ เรายังจำ เรายังรับรู้ ถึงภพชาติ รับรู้ถึงสังคมมนุษย์นี้ได้อยู่ รู้ได้อยู่นี้แต่มันสะอาด ขันธ์สะอาดเห็นไหม

ภาราหเว ปัญจักขันธา ขันธ์ที่เป็นภาระกับขันธ์ที่สะอาด พระอรหันต์เป็นขันธ์ที่สะอาด ความรู้สึกกิริยาถึงเป็นสะอาดหมด เพราะมันไม่มีอวิชชา ไม่มีมารยาสาไถ นี่ไงว่าพระอรหันต์ไม่มีมารยาสาไถ ไม่มีมารยาภาพ มันเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ทั้งหมด มันแสดงออกโดยสัญชาตญาณ แล้วพอเขาบอกว่าพอขันธ์มันขาด ขาดมี พอหลวงตายืนยัน เขาก็สบายใจ นี่เหมือนกันถ้าเราทำได้จริง เพราะมิจฉาทิฏฐิ คือ ความเห็นผิด

แล้วเราปฏิบัติกันเป็นสัมมาทิฏฐิ ถ้าปฏิบัติจริง รู้จริง เห็นจริง ความถูกต้อง ไปถามปัญหาเขานะ เขาทำให้เราผิดพลาด คือ ทำให้เรางงหมดน่ะ เพราะอะไร เพราะหัวหน้าไม่เป็น ย้อนกลับมาที่หลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นบอกเวลาพระปฏิบัติ ปฏิบัติมานะผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ การแก้จิตมันแก้ยากนะ ถ้าผู้เฒ่าตายไปใครจะแก้

แล้วในปัจจุบันมันมีกี่องค์ หลวงตาพูดเราฟังแล้วมันก็ดีใจนะว่าผู้รู้จริงยังมีอยู่ แต่! แต่มีอยู่กี่องค์ มีอยู่จนโลกนี้เขากลืนกินหมดแล้วล่ะ ไม่กลืนกิน กระแสเขาจะแรงขนาดนี้เหรอ กระแสเขาแรงมาก แต่เราก็ทำเพื่อสัจธรรม นี่วันนี้พูดยืนยันเพราะอ่านเห็นเยอะ แต่อันไหนมันสะดุดใจ สะดุดใจที่เขามาพูดให้โยมฟัง แล้วเดี๋ยวก็สะดุดใจตรงอื่นอีก แล้วก็จะมาพูดเรื่องอื่นอีก แต่ก็เรื่องเดียวกันนั่นน่ะเรื่องความเห็นผิด เอวัง